การจัดการเรียนรู้รูปแบบซิปปา

        

ลักษณะของกิจกรรมการเรียนรู้แบบซิปปา

  แนวคิดการจัดการเรียนรู้รูปแบบซิปปา

   ลักษณะของกิจกรรมการเรียนรูปแบบซิปปา

   หลักการออกแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรูปแบบซิปปา

  การจัดกิจกรรมการเรียนรูปแบบซิปปา

  บทบาทของผู้สอนและผู้เรียนในการจัดกิจกรรมการเรียนรูปแบบซิปปา

หน้าหลักสืบค้น

 

           การจัดกิจกรรมการเรียนรูปแบบซิปปา มีการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้  เพื่อส่งเสริมให้เกิดผลกับผู้เรียนดังนี้

 

          1. เพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมทางร่างกายและอารมณ์ จิตใจ กิจกรรมการเรียนรู้ ควรมีความหลากหลาย ให้โอกาสผู้เรียนได้มีการเคลื่อนไหว (physical movement) เป็นระยะ ตามความเหมาะสมกับวัย และความสนใจของผู้เรียน 
การเคลื่อนไหวอวัยวะหรือกล้ามเนื้อ ได้แก่
              1.1 การเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อมัดย่อย (fine motor movement) กิจกรรม
การเขียน การฟัง การวาดภาพ การพับกระดาษ การร้อยมาลัย การร้องเพลง เป็นต้น
              1.2 การเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อมัดใหญ่ (gross motor movement) กิจกรรมการลุกนั่ง การกระโดด การวิ่ง การเล่นเกมต่าง ๆ เป็นต้น การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเคลื่อนไหวร่างกาย ช่วยให้ผู้เรียนเกิดความพร้อมในการเรียนรู้ มีความกระฉับกระเฉงตื่นตัว ไวต่อความรู้สึก กิจกรรม ที่จัดควรคำนึงถึงการมีส่วนร่วมทางด้านอารมณ์ของผู้เรียนด้วย

 

          2. เพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางด้านสติปัญญา และอารมณ์ กิจกรรมการเรียนรู้ ต้องมีลักษณะกระตุ้น และท้าทายความคิด ทำให้ผู้เรียนเกิดความจดจ่อผูกพันกับสิ่งที่คิด ส่งผลให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี การเรียนรู้ทางสติปัญญา แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
              2.1 การเรียนรู้ทางด้านเนื้อหาความรู้ (content or knowledge) ได้แก่ 
การเรียนรู้ข้อมูล ข้อเท็จจริง และความรู้ต่าง ๆ 
              2.2 การเรียนรู้ทักษะกระบวนการ (process skills) ได้แก่ การเรียนรู้ทักษะ ต่าง ๆ ที่จำเป็นในการเรียนรู้ เช่น ทักษะการคิด ทักษะการแก้ปัญหา ทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น เป็นต้น
การเรียนรู้ทางด้านเนื้อหาความรู้ (content or knowledge) จากการเรียนรู้แบบท่องจำ ผู้เรียนไม่เกิดความเข้าใจอย่างแท้จริง วิเคราะห์และสังเคราะห์ และนำไปใช้ไม่ได้ตามที่คาดหวังจากปัญหาที่เกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้แสวงหาแนวทางใหม่ ที่นำมาอธิบายและแก้ปัญหาแนวคิดทางการสรรค์สร้างความรู้ (Constructivism) ซึ่งเชื่อว่าความรู้เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมาด้วยตนเอง สามารถเปลี่ยนแปลงและพัฒนาขึ้นมาได้เรื่อย ๆ โดยอาศัยกระบวนการพัฒนาโครงสร้างความรู้ภายในตัวบุคคล 

           ดังนั้นจึงสามารถบอกได้ว่าโครงสร้างสติปัญญาของผู้เรียน ประกอบด้วยโครงสร้าง ความรู้ที่สามารถปรับเปลี่ยน และขยายออกได้ โดยอาศัยองค์ประกอบ 3 ประการ คือ
          1. ความรู้เดิม หรือโครงสร้างความรู้เดิมที่มีอยู่
          2. ความรู้ใหม่ ได้แก่ ประสบการณ์ที่ได้รับ ข้อมูล ข้อเท็จจริง ความรู้ ความรู้สึก 
          3. กระบวนการทางสติปัญญา ได้แก่ กระบวนการทางสมอง ที่ใช้ในการทำความเข้าใจความรู้ใหม่ที่ได้รับมา และใช้เชื่อมโยงและปรับความรู้เดิมและความรู้ใหม่เข้าด้วยกัน
การเรียนรู้ทักษะกระบวนการ หรือทักษะทางสติปัญญา จากการเรียนรู้เพียงเนื้อหาไม่เพียงพอ ควรจะต้องมีการเรียนรู้เกี่ยวกับกระบวนการเรียนรู้ (learning process) ดังนั้นจำเป็นต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนได้มีทักษะทางสติปัญญา ทักษะกระบวนการต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต เช่น ทักษะการแสวงหาความรู้ ทักษะการศึกษาด้วยตนเอง ทักษะการคิดและกระบวนการคิดต่าง ๆ ทักษะการจัดการ และทักษะการทำงานกลุ่ม หรือการทำงานร่วมกันเป็นทีม

 

          3. เพื่อช่วยให้ผู้เรียนมาส่วนร่วมทางสังคม และอารมณ์ กิจกรรมการเรียนรู้จึงควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมรอบตัว ดังนี้
               3.1 บุคคลแวดล้อมได้แก่ ครู เพื่อนในห้อง ผู้ปกครอง บุคลากรในสถานศึกษา คนในชุมชน เป็นต้น
               3.2 สิ่งแวดล้อมทางกายภาพได้แก่ สถานที่ต่าง ๆ ภายในโรงเรียนและชุมชน
               3.3 สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ ได้แก่ สวนสาธารณะ ป่าไม้ แม่น้ำ สัตว์ต่าง ๆ เป็นต้น
               3.4 สิ่งแวดล้อมทางด้านสื่อ ได้แก่ โสตวัสดุและเทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น หนังสือ ตำรา วารสาร เกมคอมพิวเตอร์ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ เป็นต้น
กิจกรรมการเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทั้ง 4 ด้าน สามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตารมวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ เนื่องจากกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผ่านกระบวนการคิดกลั่นกรองโดยผู้เรียนเอง ผู้เรียนเกิดความเข้าใจและจำในสิ่งที่ตนเรียนได้เป็นอย่างดี และถ้าหากมีการฝึกฝน นำความรู้ได้ไปประยุกต์ใช้ทำให้ผู้เรียนสามารรถถ่ายโอนการเรียนรู้ (transfer of learning) ทั้งนี้จำเป็นต้องอาศัยการฝึกฝนการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ (application)

 

          จากแนวคิดและลักษณะของกิจกรรมการเรียนรู้ตามรูปแบบซิปปา  ดังกล่าว พิมพ์พันธ์ เดชะคุปต์ และพเยาว์ ยินดีสุข (2548, หน้า 41-43) ได้กล่าวถึงความหมาย ตัวอักษรย่อที่มาของคำว่า “CIPPA” ซึ่งเป็นแนวคิดหลักในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
ไว้ว่า  ทิศนา แขมมณี ได้พัฒนาแนวคิดนี้ขึ้นมาใช้ในการเรียนการสอน โดยมิได้เรียงลำดับกิจกรรมการเรียนตามชื่อนี้ แต่เพื่อให้ผู้เรียนจำหลักการนี้ได้ง่ายขึ้น จึงลองวิเคราะห์แนวคิดหลักของการเรียนการสอนดังกล่าว พบว่าสามารถนำคำสำคัญของแนวคิดหลักมาเรียงกันได้เป็น “CIPPA” ทำให้จำได้ง่ายทั้งผู้เรียน และผู้สอน ตัวอักษรย่อที่มาของคำว่า “CIPPA” มีความหมายตามตัวอักษร ดังนี้

          C มาจากคำว่า Construct หมายถึง การสร้างความรู้ตามแนวคิดของ Constructivism กล่าวคือ กิจกรรมการเรียนรู้ที่ดีควรเป็นกิจกรรม ที่ช่วยให้ผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยตนเอง ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนมีความเข้าใจ และเกิดการเรียนรู้ที่มีความหมายแก่ตนเอง การที่ผู้เรียนมีโอกาสสร้างความรู้ด้วยตนเองนี้ เป็นกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางสติปัญญา

          I มาจากคำว่า Interaction หมายถึง การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น และสิ่งแวดล้อมรอบตัว กิจกรรมการเรียนรู้ที่ดีจะต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับบุคคล และแหล่งความรู้ที่หลากหลาย ได้รู้จักกันและกัน ได้แลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ ความคิดประสบการณ์แก่กันและกันให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ซึ่งเป็นการช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางสังคม

          P มาจากคำว่า Physical Participation หมายถึง การให้ผู้เรียนได้มีโอกาสเคลื่อนไหวร่างกาย โดยการทำกิจกรรมในลักษณะต่าง ๆ ซึ่งเป็นการช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางด้านร่างกาย

         P มาจากคำว่า Process Learning หมายถึง การเรียนรู้กระบวนการ ต่าง ๆ ของกิจกรรม การเรียนรู้ที่ดีควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียน ได้เรียนรู้กระบวนการต่าง ๆ ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต เช่น กระบวนการแสวงหาความรู้ กระบวนการคิด กระบวนการแก้ปัญหา กระบวนการกลุ่ม กระบวนการพัฒนาตนเอง เป็นต้น การเรียนรู้กระบวนการมีความสำคัญเช่นเดียวกับการเรียนรู้ด้านเนื้อหาสาระต่าง ๆ การเรียนรู้เกี่ยวกับกระบวนการเป็นการช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางด้านสติปัญญาอีกทางหนึ่ง

         A มาจากคำว่า Application หมายถึง การนำความรู้ที่ได้มาไปประยุกต์ใช้ ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนได้รับประโยชน์จากการเรียน และช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้เพิ่มเติมขึ้นเรื่อย ๆ กิจกรรมการเรียนรู้ที่มีแต่เพียงการสอนเนื้อหาสาระให้ผู้เรียนเข้าใจ โดยขาดกิจกรรมการนำไปประยุกต์ใช้ จะทำให้ผู้เรียนขาดความเชื่อมโยงระหว่างทฤษฎีกับการปฏิบัติ ซึ่งจะทำให้การเรียนรู้ไม่เกิดประโยชน์เท่าที่ควร  การจัดกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้นี้ เท่ากับเป็นการช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ในด้านใดด้านหนึ่งหรือหลาย ๆ ด้าน แล้วแต่ลักษณะของสาระและกิจกรรม
ที่จัด

 

 

อ้างอิงจาก

พิมพันธ์  เดชะคุปต์. (2548). วิธีวิทยาการสอนวิทยาศาสตร์ทั่วไป. กรุงเทพฯ: พัฒนาคุณภาพวิชาการ(พว.).