รู้ไว้ห่างไกลโรค

 

จุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรค

จุลินทรีย์

ประเภทของจุลินทรีย์

    :: ไวรัส

    :: แบคทีเรีย

    :: สาหร่ายเซลล์เดียว

    :: โพรโทซัว

    :: รา

โรคที่เกิดจากจุลินทรีย์

    :: โรคติดเชื้อทางระบบหายใจ

    :: โรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธุ์

    :: โรคติดเชื้อทางการกินอาหาร

    :: โรคติดเชื้อที่นำโดยแมลงหรือสัตว์

 

โรคติดต่ออุบัติใหม่

โรคติดต่ออุบัติใหม่ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย

     :: โรคไข้กาฬหลังแอ่น

     :: โรคติดเชื้อเสร็พโตค็อกคัสซูอิส

     :: โรคทูลารีเมีย

     :: โรคเมลิออยโดซิส

     :: โรคแอนแทรกซ์

โรคติดต่ออุบัติใหม่ที่เกิดจากเชื้อไวรัส

๐ โรคติดต่ออุบัติใหม่ที่เกิดโพรโทซัว

โรคติดต่ออุบัติใหม่ที่เกิดจากพรีออน

 

การเสริมสร้างสุขภาพและการป้องกันโรค

การเสริมสร้างสุขภาพ

การสร้างกำลังใจปกป้องสุขภาพ

การใช้หลักพุทธธรรมปกป้องสุขภาพ

 

 

   

โรคติดต่ออุบัติใหม่ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย

             โรคไข้กาฬหลังแอ่น (Menincoccal disease)

          โรคไข้กาฬหลังแอ่นคือเป็นโรคติดเชื้อที่มีอาการรุนแรงโรคนี้เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชื่อ Neisseria meningitidis เชื้อตัวนี้แบ่งออกเป็น 13 กลุ่มแต่กลุ่มที่ทำให้เกิดโรคได้บ่อยคือชนิด groups B and C เชื้อนี้สามารถตรวจพบในคอของคนปกติร้อยละ 20โดยที่ไม่เกิดโรคหรืออาการ แต่มีผู้ป่วยบางท่านที่เชื้อนี้เข้ากระแสเลือดและทำให้เกิดโรค โดยมากเป็นกับเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีและช่วงอายุ 15-24 ปี เป็นโรคที่พบไม่บ่อยแต่อันตรายถึงชีวิตอัตราการเสียชีวิตร้อยละ 5-10 แม้ว่าจะให้การรักษาอย่างเต็มที่แล้วก็ตาม การติดเชื้อมีได้ 2 ลักษณะคือ

    • การติดเชื้อธรรมดา
    • เยื่อหุ้มสมองอักเสบ meningitis อัตราการเสียชีวิตร้อยละ3
    • โลหิตเป็นพิษ meningococcemia อัตราการเสียชีวิตร้อยละ50 นอกจากเยื่อหุ้มสมองแล้ว เชื้อนี้ยังสามารถทำให้เกิดโรคที่ ข้อ ปอดบวม

    อาการของโรคและระยะฟักตัก

                                                                                                       มีผื่นเป็นจุดแดง เหมือนไข้เลือดออก มักจะพบตามแขน ขา ทดสอบเอาแก้วกดบนผื่น ผื่นจะไม่จางหาย  ประกอบด้วย ไข้สูง ปวดศีรษะ คอแข็ง ผื่นตามตัว คลื่นไส้อาเจียน ซึมลง ผื่นจะมีลักษณะ เป็นจุดแดง หรือดำคล้ำ บางที่เป็นตุ้มน้ำซึ่งมีเชื้ออยู่ภายในเนื่องจากโรคดำเนินเร็วมาก หากมีอาการดังกล่าวตั้งแต่ 2 อย่างขึ้นไปโดยเฉพาะผู้ที่สัมผัสผู้ป่วยต้องรีบพบแพทย์โดยด่วน ระยะฝักตัว(ระยะเวลาตั้งแต่รับเชื้อโรคจนกระทั่งเกิดอาการของโรค)ประมาณ3-4 วันโดยเฉลี่ย 1-10 วัน ระยะติดต่อเชื้อนี้สามารถติดต่อไปสู่คนอื่นตราบที่ยังพบเชื้อนี้อยู่ แต่หลังจากให้ยา 24 ชั่วโมงแล้วจะไม่ติดต่อ

    การวินิจฉัย

              ข้อมูลการตรวจยืนยันเชื้อ Neisseria meningitidis  จากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยแยกเชื้อและทดสอบ Serogroup โดยวิธี PCR สามารถยืนยันเชื้อจากผู้ป่วยได้ 5 ตัวอย่าง โดยเป็นตัวอย่าง Hemoculture 2  ตัวอย่าง ซีรั่ม 1 ตัวอย่าง และน้ำไขสันหลัง 2 ตัวอย่าง  ผลการทดสอบ serogroup เป็น serogroup B  3 ตัวอย่าง สำหรับอีก 2 ตัวอย่าง เพาะเชื้อไม่ขึ้น ซึ่งการส่งตัวอย่างเลือด หรือน้ำไขสันหลังมาเพาะเชื้อและตรวจหา serogroup มีความสำคัญต่อการศึกษาสายพันธุ์ เพื่อตรวจสอบว่าเป็นสายพันธุ์เดียวกันหรือไม่ ทำให้ทราบระบาดวิทยาของเชื้อ Neisseria meningitidis ในประเทศไทย และสามารถวางแนวทางการควบคุมป้องกันได้ดียิ่งขึ้น

    การติดต่อ
    เมื่อมีการสัมผัสกับผู้ป่วยทาง

    • เยื่อเมือกในปากและจมูก เช่นการจูบ การเป่าปากและจมูก หรือหน้าใกล้ชิดกันเป็นเวลานาน
    • เสมหะหรือน้ำลายผู้ป่วยเชื้อนี้จะติดต่อทางน้ำลายหรือเสมหะโดยการสูบบุหรี่ร่วมกัน ดื่มน้ำแก้วเดียวกัน จูบปากกัน หรือผายปอดช่วยชีวิต

    การรักษา
              วัคซีนป้องกันไข้กาฬหลังแอ่นควรให้กับ เด็กอายุมากกว่า2ขวบในขณะที่มีการระบาดของเชื้อ เด็กอายุ3-18เดือนในช่วงระบาดอาจฉีด2เข็มห่างกัน3เดือน  ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อสูงเช่นผู้ถูกตัดม้าม  เจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการที่ต้องสัมผัสกับเชื้อ  บุคคลที่ๆจะไปถิ่นระบาด หลังฉีดจะมีภูมิอยู่ไม่เกิน3ปี ภูมิจะเริ่มขึ้น7-10วัน หรือใช้ยาปฏิชีวนะสำหรับผู้สัมผัสโรคได้แก่ สมาชิกในครอบครัวที่อยู่ด้วยกันเกิน25ชมต่อสัปดาห์  เจ้าหน้าที่ที่ดูแล  ผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดเช่น จูบ การเป่าปากช่วยชีวิต การใช่ท่อช่วยหายใจ

    สถานการณ์โรคไข้กาฬหลังแอ่นในประเทศไทย

             ในปี พ.ศ.2551 สำนักระบาดวิทยา ได้รับรายงานผู้ป่วยโรคไข้กาฬหลังแอ่น 15 ราย จาก 12 จังหวัด คิดเป็นอัตราป่วย 0.02 ต่อประชากรแสนคน ซึ่งมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 มีผู้เสียชีวิต 2 ราย คิดเป็นอัตราตาย 0.003 ต่อประชากรแสนคน และอัตราป่วยตายร้อยละ 13.33 ซึ่งลดลงเมื่อเทียบจากปี พ.ศ.2550 ผู้ป่วยโรคไข้กาฬหลังแอ่นพบได้ตลอดปีไม่มีฤดูกาลเกิดโรคที่ชัดเจน สำหรับปี พ.ศ. 2551 ตั้งแต่เดือนสิงหาคม – ธันวาคม พบผู้ป่วยต่อเนื่องติดต่อกันโดยพบผู้ป่วยเดือนละ 1 – 4 ราย และภาคใต้มีอัตราป่วยสูงสุดอย่างต่อเนื่อง คิดเป็นอัตราป่วย 0.07 ต่อประชากรแสนคน รองลงมาคือ ภาคเหนือ, ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คิดเป็นอัตราป่วย 0.03, 0.02 และ 0.01 ต่อประชากรแสนคน ตามลำดับ จังหวัดที่มีอัตราป่วยต่อประชากรแสนคนสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จังหวัดสตูล ตรัง กระบี่ สมุทรสาคร และพะเยา อัตราป่วยต่อประชากรแสนคน เท่ากับ 0.70, 0.33, 0.24, 0.21 และ 0.21 ตามลำดับ

              ปี พ.ศ.2552 จนถึงปัจจุบัน (ณ วันที่ 6 สิงหาคม 2552) พบผู้ป่วยแล้ว 31 ราย จาก 19 จังหวัด คิดเป็นอัตราป่วย 0.05 ต่อแสนประชากร เสียชีวิต 1 ราย จังหวัดที่มีอัตราป่วยต่อแสนประชากรสูงสุด 5 อันดับแรก คือ แม่ฮ่องสอน (1.18 ต่อแสนประชากร) ปัตตานี (0.47 ต่อแสนประชากร) อุตรดิตถ์ (0.43 ต่อแสนประชากร) สุราษฎร์ธานี (0.41 ต่อแสนประชากร) พัทลุง (0.40 ต่อแสนประชากร) ภาคที่มีอัตราป่วยสูงสุดยังคงเป็นภาคใต้ 0.14 ต่อแสนประชากร รองลงมาคือ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง คิดเป็นอัตราป่วย 0.05, 0.05 และ 0.01 ต่อแสนประชากร ตามลำดับ

    สถานการณ์ของโรคไข้กาฬหลังแอ่นในต่างประเทศ
    ปี พ.ศ.2552 จากข้อมูลรายงานขององค์การอนามัยโลก พบการระบาดของโรคในทวีปแอฟริกา ในช่วงไตรมาสแรกของปี ดังนี้

    • ประเทศสาธารณรัฐ Chad พบผู้ป่วยสงสัย 922 ราย มีผู้เสียชีวิต 105 ราย คิดเป็นอัตราป่วยตายร้อยละ 11.4 และมีการตรวจพบเชื้อ Neisseria meningitidis serogroup W135 และ serogroup A จากตัวอย่างน้ำไขสันหลังจำนวน 33 และ 30 ตัวอย่าง ตามลำดับ
    • ประเทศสาธารณรัฐไนเจอร์ พบผู้ป่วยสงสัย 4,513 ราย เสียชีวิต 169 ราย คิดเป็นอัตราป่วยตายร้อยละ 3.7 โดยสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อ Neisseria meningitidis serogroup A
    • สหพันธ์สาธารณรัฐไนจีเรีย พบผู้ป่วยสงสัย 17,462 ราย เสียชีวิต 960 ราย คิดเป็นอัตราป่วยตายร้อยละ 5.5 และสาเหตุเกิดจากเชื้อ Neisseria meningitidis serogroup A จากตัวอย่างน้ำไขสันหลัง

    เนื่องจากโรคไข้กาฬหลังแอ่นเป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรียชนิดเฉียบพลัน พื้นที่ที่มีอุบัติการณ์ของโรคสูงติดต่อกันหลายปี ได้แก่ ประเทศแถบทวีปแอฟริกา (เขต African meningitis belt) ทั้งหมด 21 ประเทศ (บริเวณตั้งแต่ประเทศเซเนกัลไปจนถึงประเทศเอธิโอเปีย) ในอดีต การแพทย์และสาธารณสุขยังไม่ก้าวหน้า โรคนี้มีอัตราป่วยตายที่ร้อยละ 50% แต่ปัจจุบันมีอัตราป่วยตายร้อยละ 8-15% อย่างไรก็ตามผู้รอดชีวิตประมาณร้อยละ 10-20 ยังคงมีอาการหลงเหลืออยู่ เช่น หูหนวก สติปัญญาลดลง แขนขาอ่อนแรง องค์การอนามัยโลกได้สนับสนุนผู้เชี่ยวชาญไปยังประเทศที่พบการระบาดเพื่อการเฝ้าระวังป้องกันโรค การตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการ การรักษาพยาบาลผู้ป่วย และยุทธศาสตร์การใช้วัคซีนป้องกันโรค สำหรับประเทศไทยควรมีการเฝ้าระวังเป็นพิเศษในกลุ่มประชากรที่มีการเดินทางมาจากพื้นที่ที่มีการระบาด เช่น เขต African meningitis belt ได้แก่ ผู้ที่เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ และอุมเราะห์ที่ซาอุดิอาระเบีย เป็นต้น