การศึกษาเกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพ

อาณาจักรมอเนอรา

อาณาจักรโพรทิสตา

     :: ลักษณะสำคัญของโพรทิสต์

     :: แบบฝึกที่ 3.1

     :: ความหลากหลายของโพรทิสต์

     :: แบบฝึกที่ 3.2

อาณาจักรพืช

อาณาจักรฟังไจ

สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง

สัตว์มีกระดูกสันหลัง

Download เอกสารเผยแพร่

กลับหน้าหลัก

 

 

 

 

ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตในอาณาจักรโพรทิสตา

         

          การจัดจำแนกกลุ่มสิ่งมีชีวิตในอาณาจักรโพรทิสตาโดยใช้ลักษณะสัณฐานวิทยาจากการศึกษาด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเลคตรอน และข้อมูลโมเลกุลดีเอ็นเอ แบ่งออกเป็นกลุ่มต่าง ๆ ได้จำนวน 8 กลุ่ม ดังภาพ

ภาพที่ 2 แผนภาพการจัดจำแนกและแสดงวิวัฒนาการชาติพันธุ์ (phylogeny) ของสิ่งมีชีวิต
(ที่มา: http://sharon-taxonomy 2009-p2.wikispaces.com/Protista)

 

          1. กลุ่มดิโพลโมนาดิดา (Diplomonadida) เป็นกลุ่มโพรทิสต์ที่เป็นเซลล์ยูคาริโอตที่ไม่มี พลาสติด และ ไมโตคอนเดรียที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นไมโตโซม (mitosome) ยังไม่สามารถเกิดการถ่ายทอดอิเลคตรอนเพื่อสร้าง ATP โดยใช้ออกซิเจนได้ ดังนั้นจึงได้พลังงานจากการหายใจแบบไม่ใช้ออกซิเจนเท่านั้น นอกจากนี้ยังไม่มีออร์แกเนลล์ ร่างแหเอนโดพลาสมิกเรติคูลัม กอลจิคอมเพล็กซ์และเซนทริโอล แต่มีหนวดหลายเส้น และมีนิวเคลียส 2 อัน เช่น Giardia lamblia ซึ่งเป็นปรสิตในลำไส้ของคน

ก.
ข.
ค.
  ภาพที่ 3 Giardia lamblia (ก)-(ข) ภาพถ่ายจากกล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสง
  (ค)ภาพถ่ายจากกล้องจุลทรรศน์อิเลคตรอนแบบส่องกราด (SEM)
  (ก) (ที่มา : http://craig.f12network.com)
  (ข) (ที่มา: http://umanitoba.ca/science/zoology)
  (ค) (ที่มา: http://mrogers.wikispaces.com/Protista+-+4th+Hour)

                            

          2. กลุ่มพาราบาซาลา (Parabasala) หรือกลุ่มพาราบาซาลิด (Parabasalids) เซลล์พบนิวเคลียส ไรโบโซม  ไม่พบออร์กาแนลล์ที่มีเยื่อหุ้มอื่นๆ เช่น ร่างแหเอนโดพลาสมิกเรติคูลัม กอลจิคอมเพล็กซ์และเซนทริโอล แต่พบโครงสร้างที่ เรียก ไฮโดรจีโนโซม (hydrogenosome) ได้พลังงานจากการหายใจแบบไม่ใช้ออกซิเจน ถ่ายปล่อยไฮโดรเจนออกมา ตัวอย่างโพรทิสต์
กลุ่มนี้ได้แก่ ไตรโคนิมฟา (Trichonympha) อาศัยอยู่ในลำไส้ของปลวก มีการดำรงชีวิตแบบภาวะพึ่งพากัน โดยการสร้างเอนไซม์มาช่วยย่อยเซลลูโลสในไม้ให้กับปลวก อีกชนิดคือ
ไตรโคโมแนส (Trichomonas) เป็นพาราบาซาลิด ที่เป็นสาเหตุให้เกิดการติดเชื้อในช่องคลอด

ก.
ข.
ค.

 ภาพที่ 4 Trichonympha sp. (ก) ภาพถ่ายจากกล้องจุลทรรศน์อิเลคตรอนแบบส่องกราด (SEM)  (ข)ไดอะแกรมแสดงลักษณะสัณฐานวิทยา (ค) ปลวก
 (ก) (ที่มา: http://skepticwonder. fieldofscience.com)
 (ข) (ที่มา: http:// accessscience.com/search.aspx?root ID=796752)
 (ค) (ที่มา: http://www. connecticutvalleybiological.com)

                           

ก.
ข.
ภาพที่ 5 Trichomonas vaginalis (ก) ภาพถ่ายจากกล้องจุลทรรศน์ (ข) ไดอะแกรมแสดงลักษณะสัณฐานวิทยา
(ก) (ที่มา: http://leucorrhea.msherbs.com)
(ข) (ที่มา: http://www.trichomoniasis.org)

                       

          3. กลุ่มยูกลีโนซัว (Euglenozoa) เป็นโพรทิสต์เซลล์เดียวที่มีผลึกโปรตีนรูปแท่งอยู่ในหนวด แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มย่อย คือ
          3.1 กลุ่มย่อยยูกลีนอยด์ (Euglenoids) ภายในเซลล์มีคลอโรพลาสต์ที่มีสารสีชนิดคลอโรฟิลล์และแคโรทีน สามารถดำรงชีวิตได้ทั้งในฐานะผู้ผลิตเมื่อมีแสงและเป็นผู้บริโภคเมื่อไม่มีแสง ได้แก่ ยูกลีนา (Euglena)

ก.
ข.
ภาพที่ 6 ยูกลีนา (ก) ภาพถ่ายจากกล้องจุลทรรศน์ (ข) ภาพไดอะแกรมแสดงโครงสร้างของ ยูกลีนา
(ก) (ที่มา: http://www.photomacrography.net)
(ข) (ที่มา: http://images.yourdictionary.com/euglena)

 

          3.2 กลุ่มย่อยไคนีโตพลาสติด (Kinetoplastids) เป็นกลุ่มที่มีไมโตคอนเดรียเพียง 1 อันในเซลล์ซึ่งมีสารพันธุกรรมหดตัวเป็นโครงสร้างไคนีโตพลาสต์ และไม่มีคลอโรพลาสต์ เป็นโพรทิสต์ที่ดำรงชีวิตแบบอิสระในน้ำจืด น้ำเค็ม และในสภาพแวดล้อมทั่วไป รวมทั้งเป็นปรสิตในเลือดของสัตว์มีกระดูกสันหลัง เช่น เชื้อทริปพาโนโซมา (Trypanosoma cruzi) ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคเหงาหลับ ในคน

ก.
ข.
ค.

ภาพที่ 7 Trypanosoma cruzi (เซลล์สีม่วง) (ก)-(ข) ภาพถ่ายจากกล้องจุลทรรศน์ (ค) ภาพจำลองรูปร่างของเชื้อและเม็ดเลือดแดง
(ก) (ที่มา: http://archive.microbelibrary.org/ASMOnly/ Details.asp?ID=1259 )
(ข) (ที่มา: http://faculty.ccbcmd.edu/courses/bio141/labmanua/ lab22)
(ค) (ที่มา:http://www.clfs.umd.edu/biology/machadolab/research_ cruzi.htm)

          4. กลุ่มแอลวีโอลาตา (Alveolata) เป็นโพรทิสต์เซลล์เดียวที่มีลักษณะร่วมกันคือ มีถุงแบน ๆ ที่เรียกว่า แอลวีโอไล (alveoli) เรียงตัวเป็นชั้นใต้เยื่อหุ้มเซลล์ ซึ่งยังไม่ทราบหน้าที่ที่ชัดเจนของถุงนี้ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มย่อย ได้แก่

ภาพที่ 8 แอลวีโอไลที่พบใต้เยื่อหุ้มเซลล์ของพารามีเซียม
(ที่มา: http://www.bio.miami.edu/dana/160/160S10_9print.html)

 

          4.1 กลุ่มย่อยซิลิเอต (Ciliates) เป็นโพรทิสต์กลุ่มที่ใช้ซิเลียในการเคลื่อนที่ มักอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีน้ำขังหรือความชื้นสูง โพรทิสต์กลุ่มนี้จะมีความหลากหลายของชนิดมากที่สุด เช่น พารามีเซียม (Paramecium sp.) และ วอร์ติเซลลา (Vorticella sp.) เป็นต้น

ภาพที่ 9 (ก) พารามีเซียม  (ข) วอร์ติเซลลา
(ก) (ที่มา:http://www.fcps.edu/islandcreekes/ecology/ paramecium.htm )
(ข) (ที่มา: http://www.microimaging.ca/protozoa/vorticella.html

 

          4.2 กลุ่มย่อยไดโนแฟลเจลเลต (Dinoflagellates) เป็นโพรทิสต์เซลล์เดียวที่มีสารสี
แคโรทีนและคลอโรฟิลล์ในพลาสติด ผนังเซลล์เป็นเซลลูโลสและสร้างผนังเซลล์เป็นแผ่นมาประกอบกันหนวดมี 2 เส้น วางตัวในแนวรอบเซลล์และแนวด้านหลังของเซลล์อย่างละเส้น  ไดโนแฟลกเจลเลตบางชนิดมีการสะสมสารพิษในตัว เมื่อน้ำทะเลมีสารอินทรีย์ซึ่งเป็นแหล่งอาหารในปริมาณมาก ทำให้มีการเพิ่มจำนวนประชากรไดโนแฟลเจลเลตอย่างรวดเร็ว ทำให้ทะเลมีสีแดงอันเนื่องจากสีของแคโรทีนอยด์    ในพลาสติดของโดโนแฟลเจลเลต ก่อให้เกิดเป็นปรากฏการณ์ขี้ปลาวาฬหรือ red tide ขึ้น  ซึ่งทำให้เกิดสารพิษของโซ่อาหารในทะเลและเกิดอันตรายต่อสัตว์น้ำเป็นจำนวนมาก

ภาพที่ 10 โครงสร้างของ Dinoflagellate
(ที่มา: http://withfriendship.com/user/sathvi/dinoflagellate.php)

 

ก.
ข.

ภาพที่11 (ก) การเกิดปรากฏการณ์ขี้ปลาวาฬหรือ red tide อันเกิดมาจาก Dinoflagellate Blooming (ข) ซากสัตว์น้ำที่ตายเนื่องจากความเป็นพิษของไดโนแฟลเจลเลต
(ก) (ที่มา: http://www.Travelstarcom/red-tide-natural-phenomenon)
(ข) (ที่มา: http://naturalunseenhazards.wordpress.com/tag/red-tide)

 

          4.3 กลุ่มย่อยเอพิคอมเพลซา (Apicomplexas) เป็นโพรทิสต์ที่มีขนาดเล็กส่วนใหญ่จะดำรงชีวิตเป็นปรสิต ได้แก่ พลาสโมเดียม (Plasmodium) ชนิดที่ทำให้เกิดโรคมาลาเรียในคนและสัตว์อื่น โดยมียุงก้นปล่องเป็นพาหะคือ Plasmodium falciparum

ก. ข. ค.

ภาพที่ 12 Plasmodium falciparum (ก) ภาพจำลองพลาสโมเดียม (ข) พลาสโมเดียมระยะต่าง ๆ ภายในเซลล์เม็ดเลือดแดง (ค) ภาพถ่ายเม็ดเลือดแดงถูกทำลายโดยพลาสโมเดียม
(ก)-(ค) (ที่มา: http://www.thedaragunterproject.webs.com/apps/photos/photo)

 

         

          5. กลุ่มสตรามีโนพิลา (Stramenopila) ส่วนใหญ่เป็นโพรทิสต์ที่สังเคราะห์ด้วยแสงได้ และโพรทิสต์ที่เป็นผู้บริโภคหลายกลุ่ม ลักษณะร่วมกันของสตรามีโนไพล์คือ เซลล์สืบพันธุ์มีแฟลเจลลาที่มีขนและแฟลเจลลาที่ไม่มีขน แบ่งออกเป็น 4 กลุ่มย่อย ได้แก่
          5.1 กลุ่มย่อยโอโอไมซีเทส (Oomycetes) เป็นกลุ่มโพรทิสต์คล้ายราที่มีลักษณะเป็นเส้นใยที่ไม่มีผนังเซลล์กั้น ภายในมีนิวเคลียสจำนวนมากมาย และมีเซลลูโลสเป็นส่วนประกอบของผนังเซลล์ สามารถสืบพันธุ์ได้ทั้งแบบอาศัยเพศและไม่อาศัยเพศ มีการดำรงชีวิตโดยเป็นผู้ย่อยสลายและปรสิต บางชนิดอาศัยอยู่ในน้ำ เรียกว่า water molds มักทำให้เกิดโรคในสัตว์น้ำ เช่น การติดเชื้อราบนเกล็ดปลาจากเชื้อ Saprolegnia parasitica

ก.
ข.

ภาพที่ 13  (ก) ลักษณะเส้นใยและการสร้างสปอร์เชื้อ Saprolegnia parasitica (ข) ปลาที่ติดเชื้อ water mold
(ก) (ที่มา: http://www.matay.gen.tr/Urunler/11_Halamid)
(ข) (ที่มา: http://datacd-production.com/naklad/cddemoe/chov/nemoci2e.html)

          5.2 กลุ่มย่อยไดอะตอม (Diatom) เป็นโพรทิสต์ที่มีลักษณะเซลล์เดียว อยู่เดี่ยว ๆ หรือรวมกันเป็นกลุ่มก็ได้ มีลักษณะสำคัญคือ ผนังเซลล์ประกอบด้วยสารพวกซิลิกาเป็นจำนวนมาก และมีลักษณะคล้ายฝากล่องและกล่องคือ มีฝากล่องเรียก epitheca และกล่องเรียก hypotheca ประกอบกัน และมีความแข็งแรงมาก

ก.
ข.

ภาพที่ 14  (ก) โครงสร้างของไดอะตอม (ข) ไดอะตอมรูปทรงต่าง ๆ
(ก) (ที่มา: http://oceandatacenter. ucsc.edu)
(ข) (ที่มา: http://images. nationalgeographic.com)

          5.3 กลุ่มย่อยสาหร่ายสีทอง (Golden Algae) เป็นโพรทิสต์เซลล์เดียวที่มีสีเหลืองทอง อันเนื่องมาจากการสะสมสารสีพวกแคโรทีนอยด์ไว้ภายในเซลล์ แต่ละเซลล์มีหนวด 2 เส้น และเซลล์มักต่อเรียงกันเป็นเส้นสายหรือโคโลนี โดยการยึดกันของหนวด เช่น ไดโอบริออน (Diobryon sp.) , ยูโรกลีนา (Uroglena sp.) และ ซีนูรา (Synura sp.) เป็นต้น

ก.
ข.
ค.

ภาพที่ 15 ความหลากหลายของสาหร่ายสีทอง (ก) Dinobryon sp. (ข) Uroglena volvox (ค) Synura sp.
(ก) (ที่มา: http://biocanvas.tumblr.com/post/7950148776/)
(ข) (ที่มา: http://www.glerl.noaa.gov/seagrant/GLWL/Algae/Chrysophyta/)
(ค) (ที่มา: http:// www.sciencephoto.com/media/118225/enlarge)

           5.4 กลุ่มย่อยสาหร่ายสีน้ำตาล (Brown Algae) เป็นสาหร่ายที่มีขนาดใหญ่และมีโครงสร้างซับซ้อนมากที่สุด บางชนิดมีเนื้อเยื่อที่หนาและมีอวัยวะที่คล้ายราก คล้ายลำต้น และคล้ายใบ  สาหร่ายกลุ่มนี้ในธรรมชาติมักพบมีสีน้ำตาล อันเนื่องมาจากมีการสะสมสารสีชนิด ฟิวโคแซนทิน มากกว่า แคโรทีน และ คลอโรฟิลล์

ก.
ข.
ค.

ภาพที่ 16 ความหลากหลายของสาหร่ายสาหร่ายสีน้ำตาล (ก) Postelsia sp. (ข) Laminaria digitata (ค) Laminaria sp. (Kelp)
(ก) (ที่มา: http://http://www.nicerweb.com/bio1152/Locked/ media/ch28/sea )
(ข) (ที่มา: http://www.floressencetea.com/KelpINFO.html #tab=Home )
(ค) (ที่มา: http://wn.com/Brown_algae)

 

           ถึงแม้สาหร่ายสีน้ำตาลจะมีโครงสร้างคล้ายพืช แต่อย่างไรก็ตามในเชิงวิวัฒนาการพบว่า สาหร่ายกลุ่มนี้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสาหร่ายเซลล์เดียวมากกว่าพืชชั้นสูง สาหร่ายสีน้ำตาลบางชนิดเจริญอยู่ในบริเวณเดียวกันเป็นจำนวนมาก และมีความยาวได้ถึง 60 เมตร เช่น สาหร่ายเคลป์ (Kelp) หรือ Laminaria sp. ซึ่งเป็นแหล่งที่มีความสำคัญต่อสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในน้ำทะเล เพราะเป็นทั้งแหล่งอาหาร ที่อยู่อาศัย และที่หลบภัยของบรรดาสัตว์น้ำ และนำมาทำเป็นอาหารของมนุษย์

          สาหร่ายสีน้ำตาล หลายชนิดมีคุณค่าทางเศรษฐกิจ เช่น สาหร่ายลามินาเรีย (Laminaria sp.) และสาหร่ายทุ่นหรือซาร์กัสซัม (Sargassum sp.) นิยมนำมาทำเป็นอาหารเนื่องจากมีธาตุไอโอดีนสูง สาหร่ายพาไดนา (Padina sp.) และสาหร่ายฟิวกัส (Fucus sp.) นำมาใช้ผลิตปุ๋ยโพแทสเซียม เป็นต้น

ก.
ข.
ค.

ภาพที่ 17 (ก) สาหร่ายทุ่น (Sargassum sp.) (ข) สาหร่ายพาไดนา (Padina sp.) (ค) สาหร่ายฟิวกัส (Fucus sp.)
(ก) (ที่มา:http://manuel.gonzales.free.fr/pages)
(ข) (ที่มา: http://www.stayinkauai.com/kauai)
(ค) (ที่มา: http://www.theseashore.org.uk/theseashore)

          6. กลุ่มโรโดไฟตา (Rhodophyta) หรือกลุ่มสาหร่ายสีแดง (red algae) สาหร่ายกลุ่มนี้มีการสร้างเนื้อเยื่อ และกิ่งก้านสาขาคล้ายพืช บางชนิดอาศัยอยู่ในน้ำจืดแต่ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในน้ำเค็ม เนื่องจากสาหร่ายสีแดงมีสารสีเสริมชนิดไฟโคอีรีทริน (phycoerythrin) ซึ่งสามารถดูดกลืนแสงช่วงความยาวคลื่นแสงสีเขียวและสีน้ำเงินที่ส่องผ่านน้ำได้ลึกกว่าแสงสีอื่น ๆ สาหร่ายสีแดงจึงสามารถเจริญเติบโตในบริเวณน้ำลึกกว่าสาหร่ายสีน้ำตาลและสาหร่ายสีเขียวได้ และที่แตกต่างจากสาหร่ายกลุ่มอื่น ๆ คือ สาหร่ายกลุ่มนี้สร้างเซลล์สืบพันธุ์เพศผู้ (sperm) แบบไม่มีหนวด กลุ่มสาหร่ายสีแดงที่พบได้แก่ Porphyra sp. หรือจีฉ่าย นำมาทำเป็นอาหาร Gracilaria sp. หรือสาหร่ายผมนาง ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตวุ้น เป็นต้น

ก.
ข.
ค.

ภาพที่ 18 ความหลากหลายของสาหร่ายสีแดง (ก) Porphyra tenera (ข) Gracilaria sp.
(ค) Fauchea laciniata
(ก)(ที่มา: http://www.fao.org/fishery/species/2790/en )
(ข) (ที่มา: http://ecologicalaquaculture.org/welcome )  
(ค) (ที่มา: http://pt-lobos.com/algae.html)

 

          7. กลุ่มคลอโรไฟตา (Chlorophyta) หรือกลุ่มสาหร่ายสีเขียว (green algae) จัดแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ตามลักษณะวิวัฒนาการและความซับซ้อนของลักษณะสัณฐานวิทยา และโครงสร้างสืบพันธุ์ ได้แก่
          7.1 กลุ่มย่อยคลอโรไฟต์ (Chlorophytes) เป็นกลุ่มที่มีลักษณะคล้ายพืชทั้งลักษณะโครงสร้างผนังเซลล์ และส่วนประกอบของสารสี คือ คลอโรฟิลล์เอ,  คลอโรฟิลล์บี และ
แคโรทีน บางชนิดมีหนวดช่วยในการเคลื่อนที่ ส่วนใหญ่จะพบในแหล่งน้ำจืด มีบางชนิดเท่านั้นที่พบในน้ำทะเล เป็นแหล่งอาหารที่สำคัญของสัตว์น้ำ และช่วยเพิ่มปริมาณออกซิเจนในน้ำ กลุ่มสาหร่ายสีเขียวมีความหลากหลายมาก จัดแบ่งตามลักษณะนิสัย ได้ดังนี้
               7.1.1 สาหร่ายเซลล์เดียว (unicellular algae) สาหร่ายกลุ่มนี้มักพบลอยอยู่ในน้ำ อาจเรียกอีกอย่างว่า “แพลงก์ตอนพืช” เซลล์มีรูปร่างรี จนถึงกลม ทุกชนิดมีคลอโรฟิลล์แบบต่าง ๆ อยู่ภายในเซลล์ บางชนิดอาจมีหนวดหลายเส้นช่วยในการเคลื่อนที่ เป็นกลุ่มสาหร่ายที่มีความหลากหลายมากที่สุดในกลุ่มสาหร่ายสีเขียว เช่น คลาไมโดโมแนส (Chlamydomonas sp.)  เป็นสาหร่ายเซลล์เดียวที่นำมาใช้เป็นตัวอย่างในการศึกษาด้านชีววิทยาโมเลกุล โดยเฉพาะการเคลื่อนที่ด้วยแฟลเจลลา และการเพิ่มจำนวนและพันธุกรรมของคลอโรพลาสต์ อีกชนิดคือ คลอเรลลา (Chlorella sp.)  เป็นสาหร่ายสีเขียวเซลล์เดียวที่มีการสะสมโปรตีนสูง จึงนิยมนำมาผลิตเป็นอาหารเสริม
              7.1.2 สาหร่ายที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม (colonial algae) สาหร่ายกลุ่มนี้เกิดจากการรวมกันของสาหร่ายเซลล์เดียวชนิดเดียวกันหลาย ๆ เซลล์ เกาะกลุ่มกันอยู่เป็นโคโลนีรูปทรงต่าง ๆ เช่น วอลวอกซ์ (Volvox sp.) ซีนีเดสมัส (Scenedesmus sp.) และโกเนียม (Gonium sp.) เป็นต้น

ภาพที่ 19  Chlamydomonas moewusii (ก) ภาพถ่ายจากกล้องจุลทรรศน์ (ข) ภาพถ่ายจากล้องอิเลคตรอนแบบส่องกราด (SEM)  
ก-ข (ที่มา: http://www.bch.umontreal.ca/protists/chlamy/appearance.html)

 

ภาพที่ 20 Chlorella sp. (ก) ลักษณะเซลล์ของ Chlorella sp. (ข) ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่ผลิตจาก Chlorella  
(ก) (ที่มา: http://plantphys.info/plant_biology/labaids/)
(ข) (ที่มา: http://www.shamansmarket.com/-strse-3667/Raw-Chlorella)

 

ภาพที่ 21 ลักษณะสาหร่ายที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม (colony) (ก) Volvox sp. (ข) Scenedesmus sp.
(ก) (ที่มา: http://www.warrenphotographic.co.uk/)
(ข) (ที่มา: http://jcoll.org/genoma/vida_microsubmarina/microalgas/)

 

               7.1.3 สาหร่ายที่มีลักษณะเป็นเส้น (filamentous algae) สาหร่ายชนิดนี้พบลอยอยู่ในแหล่งน้ำหรือยึดเกาะอยู่กับสิ่งต่าง ๆ ใต้น้ำ มีลักษณะเป็นเส้นที่เกิดจากเซลล์เดี่ยวเรียงต่อกันเป็นสายยาว แต่ละชนิดมีคลอโรพลาสต์รูปร่างแตกต่างกันไป และมีออร์กาเนลต่าง ๆ ที่ทำหน้าที่สมบูรณ์ภายในแต่ละเซลล์ ได้แก่ สไปโรไจรา (Spirogyra sp.) หรือเทาน้ำ  เป็นสาหร่ายสีเขียวที่มีคลอโรพลาสต์เรียงตัวเป็นเกลียวอยู่ในเซลล์ มีการสะสมแป้งภายในเซลล์มาก อีกชนิดคือ คลาโดฟอรา (Cladophora sp.) หรือไก เป็นสาหร่ายสีเขียวที่มีคลอโรพลาสต์เรียงกันเป็นร่างแห (recticulate Chloroplast) รับประทานได้ มีโปรตีนสูง

ก.
ข.

ภาพที่ 22 Spirogyra (เทาน้ำ) (ก) ลักษณะเส้นสายมองเห็นคลอโรพลาสต์เป็นแถบ (ข) การสืบพันธุ์แบบ conjugation ได้เซลล์ไซโกต (zygote) เจริญเติบโตเป็นต้นใหม่ต่อไป
(ก) (ที่มา: http://chokchaischool.com/elearning)
(ข) (ที่มา: http://protist.i.hosei.ac.jppdb/Images/Chlorophyta)

 

               7.1.4 สาหร่ายที่มีลักษณะเป็นแผ่น (thallus algae) สาหร่ายกลุ่มนี้มีลักษณะเป็นแผ่นของโครงสร้างที่ประกอบด้วยเซลล์เรียงซ้อนกันหนามากกว่าหนึ่งชั้น มีส่วนที่ยึดเกาะกับพื้นดินคล้ายราก คล้ายลำต้น และคล้ายใบ แต่ยังไม่มีระบบท่อลำเลียงใดๆ ได้แก่ Ulva sp. และสาหร่ายใบมะกรูด (Halimeda sp.)

ภาพที่ 23 สาหร่ายที่มีโครงสร้างเป็นแผ่น (ก) Ulva sp. (ข) Halimeda discoidea (ค) Halimeda sp. (ก) (ที่มา: http://sarinp.com/unit2/protista.htm )
(ข) (ที่มา: http://www.algaebase.org/search/species/detail/ ?species_id=3804)
(ค) จาก http://www.botany.hawaii.edu

 

          7.2 กลุ่มย่อยคาโรไฟเซียน (Charophyceans) หรือกลุ่มสาหร่ายไฟ สาหร่ายกลุ่มนี้แตกต่างจากคลอโรไฟต์ คือ สรีรวิทยาของการสังเคราะห์ด้วยแสง การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศแบบซับซ้อน และเซลล์วิทยา พบได้ทั่วไปในบริเวณน้ำตื้นและใส ตัวอย่างสาหร่ายในกลุ่มนี้ เช่น สาหร่ายไฟ (Chara sp.) และนิเทลลา (Nitella sp.)  เป็นสาหร่ายกลุ่มที่มีโครงสร้างที่ประกอบด้วยเซลล์เรียงซ้อนกันหลายชั้น โครงสร้างของผนังเซลล์เป็นเซลลูโลสที่มีการเรียงตัวคล้ายพืช มีส่วนยึดเกาะกับพื้นดินคล้ายราก ส่วนที่ตั้งขึ้นคล้ายลำต้นและมีการแตกกิ่งก้านหลายชั้นใกล้เคียงกับพืชชั้นสูงมาก โครงสร้างสืบพันธุ์เพศผู้และโครงสร้างสืบพันธุ์เพศเมียมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน และเมื่อเจริญเติบโตเต็มที่จะมีสีเหลือง ส้ม จนถึงสีแดง การศึกษาวิวัฒนาการของพืชในปัจจุบันพบว่าสาหร่ายไฟมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพืชที่เจริญบนบกมากที่สุด หรืออาจถือได้ว่าพืชที่เจริญบนบกมีวิวัฒนาการมาจากสาหร่ายไฟนั่นเอง

ภาพที่ 24  สาหร่ายไฟ (Nitella sp.) (ก) ลักษณะการแตกกิ่งของสาหร่ายไฟ (ข) โครงสร้างสืบพันธุ์เพศเมีย (Oogonium) (ค) โครงสร้างสืบพันธุ์เพศผู้ (Antheridium)
(ก-ค) (ที่มา : http://cfb.unh.edu/phycokey/Choices/Charophyceae)

          8. กลุ่มไมซีโทซัว (Mycetozoa) เป็นกลุ่มสิ่งมีชีวิตที่นำมาจัดกลุ่มโดยข้อมูลจากโมเลกุลดีเอ็นเอ มีการดำรงชีวิตมีทั้งเป็นผู้ย่อยสลาย ผู้บริโภคและปรสิต ซึ่งจะพบในบริเวณที่ชื้นแฉะและตามขอนไม้หรือใบไม้เน่าเปื่อยในป่า เช่น ราเมือกชนิดพลาสโมเดียม (plasmodium slime molds) ซึ่งเป็นเซลล์ที่มีหลายนิวเคลียสภายในเซลล์ และอีกชนิดเป็นราเมือกชนิดเซลลูลาร์ (cellular slime molds) เป็นเซลล์ที่มี 1 นิวเคลียส หลายเซลล์มาอยู่รวมกัน ราเมือกมีบทบาทเป็นผู้ย่อยสลายที่สำคัญในระบบนิเวศ ได้แก่ สเตโมนิทิส (Stemonitis sp.) และ ไฟซาลัม (Physarum sp.) เป็นต้น

ภาพที่ 25 กลุ่มราเมือก (ก) Stemonitis axifera (ข) Physarum nutans (ค) Physarum polycephalum
(ก) (ที่มา: http://sanamyan.com/myxomycetes/stemonitis )
(ข) (ที่มา: http://www.naturephoto-cz.eu/physarum-nutans-picture-6400.html )
(ค) (ที่มา: http://www.flickr.com/photos/randomtruth/ 4350484166/)

 

          กลุ่มไรโซโพดา (Rhizopoda)  ซึ่งโพรทิสต์กลุ่มนี้มีการศึกษาเกี่ยวกับวิวัฒนาการน้อยมาก ทำให้นักวิทยาศาสตร์ ไม่สามารถจัดอยู่ในสายวิวัฒนาการของโพรทิสต์กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งได้ ลักษณะทั่วไปคือมีเท้าเทียม (Pseudopodium) หรือเพื่อใช้ในการเคลื่อนที่หรือกินอาหาร โดยการยื่นเท้าเทียมไปล้อมรอบอาหาร ส่วนใหญ่จะดำรงชีวิตแบบอิสระ ที่รู้จักกันดี คือ Amoeba proteus แต่บางชนิดเป็นปรสิตที่สำคัญ เช่น Entamoeba histolytica เป็นสาเหตุของโรคบิด

ภาพที่ 26 โพรทิสต์กลุ่มอะมีบา (ก) Amoeba proteus (ข) Entamoeba histolytica ระยะ trophozoite
(ก) (ที่มา: http://archive.microbelibrary.org/ASMOnly/details.asp?ID=508 )
(ข) (ที่มา: http://www.uvm.edu/ cmb/student_details.php?people_id=435)

           

วิวัฒนาการของโพรทิสต์
         จากการศึกษาหลักฐานทางวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตในอาณาจักโพรทิสตา พบฟอสซิลที่เก่าแก่ที่สุดอายุ 2,100 ล้านปี โดยซากดึกดำบรรพ์ที่พบเป็นสิ่งบ่งชี้ถึงการดำรงชีวิตของกลุ่มโพรทิสต์ที่อยู่ในน้ำ จากข้อมูลซากดึกดำบรรพ์ ลักษณะสัณฐานวิทยา และโมเลกุลดีเอ็นเอของโพรทิสต์กลุ่มต่าง ๆ ที่ได้ศึกษาเป็นสิ่งยืนยันได้ว่าสิ่งมีชีวิตในอาณาจักรโพรทิสตา เป็นบรรพบุรุษของสิ่งมีชีวิตในกลุ่มรา พืช และสัตว์

บทบาทของโพรทิสต์
          สิ่งมีชีวิตในอาณาจักรโพรทิสตา เป็นกลุ่มที่มีความสำคัญต่อระบบนิเวศน์เป็นอย่างยิ่งในฐานะที่เป็นสิ่งมีชีวิตกลุ่มแรกที่เป็นผู้ผลิต เป็นผู้สร้างออกซิเจนให้กับแหล่งน้ำ และสามารถนำมาแปรรูปในเชิงอุตสาหกรรมได้อีกมากมาย เช่น อาหาร อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ เครื่องสำอางค์ น้ำยาขัดเงา ยาสีฟัน ปุ๋ย และผลิตน้ำมันเชื้อเพลิง เป็นต้น

 

   

รวบรวมเรียบเรียงโดย ครูนันทนา สำเภา โรงเรียนปทุมราชวงศา
อำเภอปทุมราชวงศา จังหวัดอำนาจเจริญ